สังคายนาแห่งคอนแตนติส ครั้งที่ 1
เบื้องหลัง,สาเหตุที่ทำให้เกิดสังคายนาดังกล่าว
ขอกล่าวเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงของพระศาสนาจักรใน
ค.ศ.313 ยุคของจักรพรรคคอนสแตนติน ได้มีการสนับสนุสพระศาสนาจักรเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งตั้งเป็นศาสนาพระจำจักรวรรดิทำให้พระศาสนาจักรเป่นที่ยอมรับและเสรีภาพในการประกาศ
และนับถือศาสนาอย่างมากยิ่งขึ้นและงกระจายไปทั่วจักรวรรดิอย่างรวดเร็ว เพราะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิ
โครงสร้างเมืองที่เอื้ออำนวยในเรื่องการเดินทาง คือ มีถนนอย่างดีจึงง่ายต่อการเดินทางไปสอนศาสนา
หรือเผยแพร่ศาสนา
จากความเอื้ออำนวยความสะดวกดังกล่าว จึงก๋อให้เกิดการพัฒนาทางด้านศาสนา
ในด้านโครงการสร้างของพระศาสนจักร วิถีชีวิตของคริสตชน จำนวนคริสตชนที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพิธีกรรมของศาสนา
ในที่นี้จะขอกล่าวเพียงด้านพิธีกรรมเนื่องจากเกี่ยวข้องกับข้อความเชื่อของศาสนาจะเห็นเหตุก่อให้เกิดความขัดแย้งทางข้อความเชื่อ
พิธีธกรรมที่มีการพัฒนาอย่างมาก โดยส่วนมากเอาพิธีกรรมเก่ามาดัดแปลงใหม่ อาทิ
เสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม ห้องภาวนาขนาดเล็กพัฒนาเป็นวิหารขนาดใหญ่ พิธีกรรมที่เคยทำแบบง่ายๆ
ก็พัฒนาจัดแยกเป็นหมวดหมู่, เขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สงวนไว้สำหรับสมณะเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
เพื่อทำพิธีถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า, การเปลี่ยนแปลงอีกด้านหนึ่งคือการเข้าพิธีคริสตชนใหม่จากที่เคยถูกเบียดเบียนถูกบังคับ
บ้นนี้มีแค่พระศาสนาจักรเบียดเบียนผู้อื่น
เนื่องจากพิธีกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีศูนย์กลางมาจาก
พระคัมภีร์ พระเยซูเจ้าที่ทรงลงมาบนโลกยอมตาย และกลับคืนชีพ ต่อมาได้มีการพัฒนาความคิด
ความหมายมากขึ้นผ่านทางกระบวนการปรัชญา และ เทววิทยา จึงเกิดปัญหามีหลากหลายคำสอน เพราะว่าคนสอนต่างสอนในมุมมองของตนเอง
จนกระทั่งบ้างข้อคำสอนผิดเพียนไป หรือบ้างครั้งก็สอนคำสอนได้อย่างไม่ชัดเจนจนเกิดการตีความคิดผิดเพียนไปได้
ดังนั้นจึงได้มีบท ข้าพเจ้าเชื่อ (Credo) เพื่อข้อคำสอนได้เป็นไปในทางเดียวกันยืนยันถึงสิ่งเดียวกัน
สาเหตุปัญหาสู่การเกิดสังคายนา
แต่เนื่องจากมีปรัชญา และเทววิทยา มาสนับสนุนในเรื่องเสริมสร้างความเชื่ออย่างมีเหตุผมน่าเชื่อถือไม่งมงาย
แต่บ้างครั้ง ก็นำข้อสงสัยที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ดังคำถาม เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าหนึ่งเดียวทรงเป็นทั้งพระบิดาและพระบุตรในเวลาเดียวกัน
หรือเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์เกิดแล้วตายจะเป็นพระเจ้าด้วย ทั้งที่ความหมายของพระเจ้า
คือ ไม่เปลี่ยนแปลง คงอยู่ถาวร ซึ่งบท ข้าพเจ้าเชื่อก็ได้รับอิทธิพลจากคำถามเหล่านี้
ปรับปรุงข่้อคำสอนให้น่าเชื่อถือ
ซึ่งใน การประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา
(Nicaea) (ค.ศ.325) ได้มีก่อปัญหาบางประเด็นที่ทำให้เกิดสังคายนาคอนสแตนติน
คือ ข้อตกลงของการประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา เป็นปัญหาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลายคนปฏิเสธคำว่า Homoousios เพราะคำนี้ไม่พบในพระคัมภีร์ คนอื่นเตือนความจำว่า
พวกสอนนอกรีตเคยใช้คำๆ นี้ เพราะพวกเขาไม่รู้จักแยกแยะพระบิดาออกจากพระบุตร ต่อมาไม่ช้า
ชาวตะวันตกส่วนมากปฏิเสธไม่ยอมรับสูตรของที่ประชุมสังคายนาแห่งเมืองนีเชอาอีกเลย เว้นแต่พระสังฆราชนักบุญอาทานาซีอุส
พระสังฆราชแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย ตั้งแต่ ค.ศ.328 คริสตชนตะวันตก (ละติน) มักจะซื่อสัตย์ต่อมติของที่ประชุมสังคายนาแห่งนีเชอา
และอีกประเด็นที่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าว
คือ จักรพรรดิคอนสแตนติน ผู้ได้ทรงสนับสนุนบทข้าพเจ้าเชื่อของเมืองนีเชอา ได้เปลี่ยนพระทัยโดยมุ่งพระทัยให้คริสตชนตะวันออก
การทะเลาะเบาะแว้งก่อให้เกิดการแตกแยกในพระศาสนจักรท้องถิ่น ความรุนแรงและการชำระแค้นทวีมากขึ้น
จึงได้มีการจัดประชุมหลายครั้งหลายหน และแต่ละครั้งได้เสนอสูตรใหม่ขึ้นมา แต่ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้
ใน ค.ศ.359 จักรพรรดิเสนอสูตรซึ่งมีความหมายกว้างๆ
คือ “พระบุตรคล้ายคลึงกับ (Homoios) พระบิดา”
เพราะความวุ่นวายนี้เอง ความคิดในด้านเทววิทยาได้พัฒนาขึ้น
ศัพท์ที่เคยเป็นปัญหาได้รับการนิยามให้ชัดเจนขึ้น มีการแยะคำ Ousia (สารัตถะ สภาวะ) และ Hypostasia (บุคคล) ทำให้สามารถประสานคำสอนสองเรื่องได้คือ การที่พระบิดาและพระบุตรทรงเท่าเสมอกันในสภาวะ
(Ousia) และการที่พระบิดาและพระบุตรแยกเป็นสองพระบุคคล
(Hypostasia)
แต่แล้วเกิดคำถามใหม่ขึ้นมา คือ พระจิตเจ้าเป็นพระเจ้าหรือไม่
พวกนิยมอาริอุสปฏิเสธเรื่องนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่าพวกต่อต้านพระจิตเจ้า
(Pneumatomakos) เป็นแผนการของพระเจ้าที่ทรงส่งนักบุญบาซิล
(Basil) พระสังฆราชแห่งเมืองซีซารีอา (ค.ศ.370-379)และ นักบุญเกรโกรี่ แห่งนาซีอันซุส
(Gregory of Nazianzus) เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องพระจิตเจ้า ท่านอธิบายและยืนยันว่า
พระจิตเจ้าด้วยทรงมีพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดาด้วย
ผลการประชุมสังคายนาคอนสแตนติน ครั้งที่ 1
ใน ค.ศ.380 จักรพรรดิเทโอโดซิอุส ทรงประกาศว่าคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติพระองค์รับรองว่านักบุญเกรโกรี่
แห่งนาซีอันซุส เป็นพระสังฆราชแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล และทรงเรียกประชุมสังคายนาในเมืองหลวง
(ค.ศ.381)การประชุมสังคายนาครั้งนี้ได้รวบรวมพระสังฆราชจากตะวันออกเท่านั้นและจากผลการประชุมมีข้อตกลงเหลืออยู่เพียงแค่
4 ข้อเท่านั้น คือ
1 เราต้องรักษาความเชื่อที่การประชุมสังคายนาแห่งเมืองนีเชอาประกาศไว้
2 และจะต้องปฏิเสธคำสอนนอกรีต ที่เป็นมาในภายหลังทั้งหมด
3 ที่ประชุมจึงได้นำบทข้าพเจ้าเชื่อแห่งนีเชอากลับมาพิจารณา
4 และเพิ่มคำยืนยันความเชื่อเรื่องพระจิตเจ้าว่า
“ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระจิตทรงเป็นพระเป็นเจ้า ผู้บันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดา
ทรงรับสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร” นี่คืความเป็นมาของบทข้าพเจ้าเชื่อที่เราสวดทุกวันอาทิตย์
ในศตวรรษที่ 8 คริสตชนตะวันตกที่ใช้ภาษาละตินได้เพิ่มคำ
“ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร” (Filioque)
ผลสืบเนื่องจากการใช้คำ “ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร” เป็นสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้พระศาสนจักรละติน(ตะวันตก)และพระศาสนจักรกรีก(ตะวันออก)แตกแยก ซึ่งจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 11
บทสรุปจาการศึกษา
จะเห็นได้ว่าบทข้าพเจ้าเชื่อพระศาสนจักรพยายามโดยตลอดเวลาหลายศตวรรษมานี้
เพื่อตอบสนองความต้องการของยุคต่างๆ การประกาศยืนยันความเชื่อ หรือสัญลักษณ์แห่งความเชื่อมีอยู่หลายสำนวนตามกาลสมัย
สัญลักษณ์ทั้งหลายที่ใช้อยู่ในสมัยต่างๆนั้น ไม่มีสัญลักษณ์ใดเลยที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งล้าสมัยและไร้ประโยชน์
สัญลักษณ์เหล่านี้ช่วยเราในปัจจุบัน ให้ขึ้นถึงและเข้าใจความเชื่ออย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยอาศัยข้อสรุปย่อหลากหลายซึ่งมีผู้ทำขึ้นไว้ ในบรรดาสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ มีอยู่สองสำนวนซึ่งมีตำแหน่งสำคัญเป็นพิเศษในชีวิตของพระศาสนจักร
คือ สัญลักษณ์แห่งอัครสาวก ที่มีชื่อดังนี้ เพราะได้รับการพินิจอย่างถูกต้องแล้วว่าเป็นบทสรุปย่อที่ซื่อตรงแห่งความเชื่อของบรรดาอัครสาวก
สำนวนนี้เป็นสัญลักษณ์เก่าแก่ที่ใช้ในพิธีโปรดศีลล้างบาปของพระศาสนจักรแห่งโรมอำนาจยิ่งใหญ่ของ “สัญลักษณ์” บทนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า
“สัญลักษณ์แห่งอัครสาวกบทนี้ เป็นสัญลักษณ์ซึ่งพระศาสนจักรโรมันรักษาไว้
พระศาสจักรโรมันอันเป็นแหล่งที่นักบุญเปโตร อัครสาวกคนแรก ดำรงตำแหน่งอยู่ และได้เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องถ้อยคำที่จะต้องใช้ร่วมกัน”
(น.อัมโบรส Expl. symb.7:PL 17,1196) อีกสำนวนสัญลักษณ์ที่มีที่มาจากการประชุมสภาสังคายนาสากลสองครั้งแรก
(325 และ381) เป็นสัญลักษณ์ซึ่งแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังใช้ร่วมกันอยู่ในพระศาสนจักรใหญ่ๆ
ทุกแห่ง ทั้งในภาคตะวันออกและตะวันตก
ลัทธิอารีอุส
การโต้แย้งกับพวกนิยมอารีอุสก่อให้เกิดการแตกแยกในพระศาสนจักร
จักรพรรดิ คอนสแตนตินเรียกบรรดาพระสังฆราชมาร่วมสังคายนาที่เมืองนีเชอาเกี่ยวกับเรื่องหลักคำสอน
บรรดาพระสังฆราชตัดสินว่าคำสอนของลัทธินิยมอารีอุสผิด และบอกว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็น
“พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติ”การโต้เถียงระหว่างพวกนิยมอารีอุสกับผู้คัดค้านได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
และได้คุกคามพระศาสนจักรจนก่อให้เกิดความแตกแยกและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองในจักรวรรดิ
จักรพรรดิคอนสแตนตินเชื่อว่า การปกป้องเอกภาพของพระศาสนจักรเป็นหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบให้ในฐานะเป็นจักรพรรดิ
ด้วยการแนะนำของพระสังฆราชโฮซิอุส แห่งคอร์โดวา ที่ปรึกษาด้านเทววิทยาจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงเรียกประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา
อยู่ใกล้เมืองคอนสแตนติโนเปิ้ล เป็นเมืองที่จักรพรรดิไปพักผ่อนเป็นประจำ การประชุมครั้งนี้ถูกเรียกว่าเป็นสังคายนาสากล
มีการชุมนุมกันของบรรดาพระสังฆราชจากพระศาสนจักรทั่วโลก มีพระสังฆราชมากกว่า
300 องค์มาร่วมประชุมครั้งนี้ พระสังฆราชเกือบทั้งหมดจากภาคตะวัน ออกที่พูดภาษากรีกมาเข้าร่วม
และอีกประมาณ 15 องค์จากภาคตะวันตกที่พูดภาษาลาติน เป็นกลุ่มที่ใหญ่มากสำหรับวัดแห่งเมืองนีเชอา
จักรพรรดิจึงอนุญาตให้ใช้พระราชวังของพระองค์สำหรับจัดการประชุมสังคายนาเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่
20 พฤษภาคม ค.ศ.325 โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นประธานเปิดด้วยพระองค์เอง
ในสุนทรพจน์เปิดการประชุม พระองค์ทรงเรียกร้องให้บรรดาพระสังฆราชแสวงหาสันติภาพและความสามัคคีปรองดองกันภายในพระศาสนจักรการโต้เถียงได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
จากที่พวกนิยมอารีอุสเสนอความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า บรรดาพระสังฆราชส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกนิยมอารีอุส
ดังนั้นบรรดาพระสังฆราชพยายามหาข้อตกลงกันในคำแถลงที่ประกาศถึงความเชื่อแท้จริงของพระศาสนจักร
ที่ประชุมสังคายนายืนยันว่า “พระเยซูคริสตเจ้าทรงมีพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา”
ส่วนคำอธิบายอื่นๆ บอกว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เหมือนพระบิดาเป็นพระเจ้า
พระเยซูไม่ได้ทรงถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนการเริ่มต้นสิ่งสร้างทั้งหลาย
ทุกวันนี้ใน “บทข้าพเจ้าเชื่อ” ยังคงใช้ข้อความอธิบายถึงพระเยซูเจ้าที่ออกมาจากสังคายนาที่เมืองนีเชอา
ว่า “ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า ทรงเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง
ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้างแต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา”
บรรดาพระสังฆราชบรรลุถึงความเห็นร่วมกันของที่ประชุมส่วนใหญ่ สังคายนาถูกเรียกเพราะเห็นถึงอันตรายจากการแตกแยกอย่างรุนแรง
และเพื่อยืนยันถึงความเป็นเอกภาพในพระศาสนจักร ในเวลาต่อมาพวกนิยมอารีอุสไม่กล้าต่อต้านสังคายนาเมืองนีเชอาอย่างเปิดเผย
และเป็นจริง เหมือนสิ่งที่จักรพรรดิคอนสแตนตินได้พูดว่า “อะไรก็ตามที่ถูกตัดสินโดยพระสังฆราช
300 องค์ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้นอกจากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ด้วยว่าพระจิตเจ้าที่ประทับอยู่กับบุคคลเหล่านั้นทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เอง”
จากเว็บhttp://www.catholic.or.th/archive/historyxa/history6/story12.html
ประวัติจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1
จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 (ภาษาอังกฤษ: Constantine I 27 กุมภาพันธ์ ประมาณ ค.ศ. 272– 22 พฤษภาคม ค.ศ.
337) ครองราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน ระหว่างวันที่
25 กรกฎาคม ค.ศ. 306 ถึงวันที่
29 ตุลาคม ค.ศ. 312 มีพระนามเต็มว่า
“Flavius Valerius Aurelius Constantinus” หรือที่รู้จักกันว่า
“คอนสแตนตินที่ 1” ในบรรดาผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก
หรือ “คอนสแตนตินมหาราช” หรือ “นักบุญคอนสแตนติน” ในบรรดาผู้นับถือนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์
หรือนิกายไบแซนไทน์คาทอลิก พระราชกรณียกิจสำคัญที่สุดคือการประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันเมือปี
ค.ศ. 313 จักพรรดิคอนสแตนตินที่
1 จึงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโรมันที่นับถือศาสนาคริสต์ตามพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน
(Edict of Milan) ที่ประกาศโดยจักรพรรดิลีซีนีอุส
(Licinius) ผู้ทรงเป็นจักรพรรดิร่วมกับพระองค์ พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลานเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ยกเลิกการทารุณกรรมต่อคริสต์ศาสนิกชนทั่วทั้งจักรวรรดิโรมัน
ตามปฏิทินศาสนาของไบเซ็นไทน์ของนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์
และนิการคาทอลิกตะวันออกแห่งไบเซนไทน์บันทึกจักพรรดิคอนสแตนตินที่ 1และเฮเลนแห่งคอนสแตนติโนเปิลพระมารดาว่าเป็นนักบุญ แต่ในปฏิทินศาสนาของตะวันตกไม่มีอยู่ในรายนามนักบุญ
คอนสแตนตินได้รับนาม “มหาราช” เพราะพระราชกรณียกิจต่างที่ทรงทำให้ต่อคริสต์ศาสนา
ในปี ค.ศ. 324 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงประกาศการปรับปรุงเมืองไบเซนเทียมให้เป็น
“กรุงโรมใหม่” (Nova Roma) และเมื่อวันที่
11 พฤษภาคม ค.ศ. 330 ทรงประกาศให้เมืองไบเซ็นเทียมเป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมัน
เมืองไบเซ็นเทียมเปลื่ยนชื่อเป็น “คอนสแตนติโนเปิล” แปลว่า “เมืองของคอนสแตนติน” หลังจากจักพรรดิคอนสแตนตินสิ้นพระชนม์เมื่อปี
ค.ศ. 337 เมืองคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ต่อมาอีกกว่าหนึ่งพันปียกเว้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อถูกปล้นและเผาและยึดครองระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เมื่อปี ค.ศ. 1204 ในที่สุดการเป็นเมืองหลวงก็มาสิ้นสุดลงในสมัยจักรวรรดิออตโตมันเมื่อปี
ค.ศ. 1453
จากเว็บ th.wikipedia.org/wiki/
บทข้าพเจ้าเชื่อจากสังคายนานิเชอา-คอนสแตนติโนเปิล
ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว
พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ เนรมิตฟ้าดิน ทั้งสิ่งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้า
ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเป็นเจ้าทรงบังเกิดจากพระบิดา ก่อนกัปก่อนกัลป์ เป็นพระเป็นเจ้าจากพระเป็นเจ้า
เป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง เป็นพระเป็นเจ้าแท้จากพระเป็นเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง
แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้เนรมิตขึ้นมา
เพราะเห็นแก่เรามนุษย์ เพื่อช่วยให้เรารอดพ้น พระองค์จึงเสด็จจากสวรรค์ พระองค์ทรงรับเอากายจากพระนางมารีย์พรหมจารี
ด้วยพระอานุภาพของพระจิต มาเกิดเป็นมนุษย์ สมัยปอนทิอัสปิลาต พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเราทรงรับทรมานและถูกฝังไว้
ทรงคืนชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดา พระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์
เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย รัชสมัยของพระองค์จะไม่มีสิ้นสุด ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระจิตทรงเป็นพระเจ้า
ผู้บันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร ทรงรับสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์
ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร พระองค์ดำรัสทางประกาศก ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระศาสนจักร เป็นหนึ่งเดียว
ศักดิ์สิทธิ์ สากล และสืบจากอัครสาวก ข้าพเจ้าประกาศยืนยันว่ามีศีลล้างบาปหนึ่งเดียวเพื่อยกบาป
ข้าพเจ้ารอวันที่ผู้ตายจะคืนชีพ และคอยชีวิตในภพหน้า อาแมน
บทสัญลักษณ์ของอัครสาวก
ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า
พระบิดาทรงสรรพานุภาพ สร้างฟ้าดิน เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา ปฏิสนธิเดชะพระจิต
บังเกิดจากพระนางมารีอาพรหมจารี! รับทรมานสมัยปอนซีโอปีลาโต
ถูกตรึงกางเขน ตาย และฝังไว้ เสด็จลงใต้บาดาล วันที่สามกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายเสด็จขึ้นสวรรค์
ประทับเบื้องขวาพระเป็นเจ้า พระบิดา ทรงสรรพานุภาพ แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระจิต พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์สากล สหพันธ์นักบุญ การยกบาป การคืนชีพของเนื้อหนัง
และชีวิตนิรันดร อาแมน!
ที่มา : คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ภาค 4 : การประกาศยันยันความเชื่อ. พิมพ์ครั้งที่
4. แผนกคริสต
ศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อัสสัมชัญ.
ศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อัสสัมชัญ.
บทสัญลักษณ์ของอัครสาวก (ปัจจุบัน)
ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า
พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ ทรงเนรมิตฟ้าดิน ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า ทรงบังเกิดจากพระนาง
มารีย์พรหมจารี ทรงรับทรมานสมัยปอนทิอัส ปิลาต ทรงถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ และทรงถูกฝังไว้
เสด็จสู่แดนมรณะ วันที่สามทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเสด็จสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระเจ้า
พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตายข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตเจ้า
พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์สากล ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ การอภัยบาป
การกลับคืนชีพของร่างกาย และชีวิตนิรันดร อาแมน
การประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา (Nicaea) (ค.ศ.325)
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านไป
เคยมีการจัดประชุมสังคายนาระดับท้องถิ่น (Localcouncils) หลายครั้ง
ในการเรียกพระสังฆราชทั้งหมดมาประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา ซึ่งอยู่ในเขตบิทีเนีย
(Bithynia) ทางใต้ของบอสโฟรุส (Bospherus) จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ให้กำเนิดระบบการประชุมแบบใหม่ในพระศาสนจักร
เรียกว่าการประชุมสังคายนาสากล (Ecumenical Council) นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการประชุมแบบนี้
(การประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เป็นการประชุมครั้งที่
21) ในการประชุมที่เมืองนีเชอามีพระสังฆราชร่วมประชุมประมาณ
300 องค์ ซึ่งเรารู้จักชื่อของพระสังฆราชประมาณ 220 องค์ พระสังฆราชส่วนใหญ่มาจากตะวันออก และถือวัฒนธรรมกรีก บรรดาพระสังฆราชเหล่านั้นอยู่ใกล้เมืองอเล็กซานเดรีย
และสนใจการถกเถียงปัญหาข้อความเชื่อมากกว่า ส่วนพระสังฆราชตะวันตกมาร่วมประชุมไม่กี่องค์
คือ พระสังฆราชเซซีเลียนแห่งเมืองคาร์เทจ (Cecilian of Carthage) อีกองค์หนึ่งมาจากเขตคาลาเบรีย (Calabria) พระสงฆ์สององค์ซึ่งเป็นผู้แทนของพระสังฆราชซิลแวสเตอร์
(Silvester) แห่งกรุงโรม พระสังฆราชนิคาซิอุสแห่งดีอา
(Nicasius of Dia) และพระสังฆราชโอซิอุสแห่งกอร์โดบา (Osius
of Cordoba) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดคอนสแตนตินในด้านศาสนา การประชุมสังคายนาเป็นที่ประทับใจอย่างยิ่ง
เป็นครั้งแรกที่มีการรวบรวมสมาชิกระดับหัวหน้าของพระศาสนจักรจำนวนมากมายเช่นนี้ พระสังฆราชหลายองค์ยังมีแผลเป็นของการถูกเบียดเบียนครั้งล่าสุด
พระสังฆราชผู้ดีมีตระกูลนั่งอยู่ร่วมกับพระสังฆราชที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ ทุกองค์พิศวงในการต้อนรับที่จักรพรรดิได้ทรงจัดให้
พิศวงในการตกแต่งพระราชวังอย่างสวยงาม และในความงามของเครื่องแบบเต็มยศของทหารกองเกียรติยศ
พระอาณาจักรของพระเจ้าจะสวยงามยิ่งกว่านี้สักแค่ไหนหนอ พระสังฆราชส่วนใหญ่ยืนยันตัดสินใจลงโทษอาริอุส
และเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องให้คำจำกัดความหลักความเชื่อให้ชัดเจนแน่นอน ยูเซบิอุส
พระสังฆราชแห่งซีซารีอา เสนอ “บทข้าพเจ้าเชื่อ” ที่ใช้ในสังมณฑลของท่าน ที่ประชุมรับรอง แต่จักรพรรดิซึ่งได้รับคำแนะนำจากพระสังฆราชโอซิอุส
ทรงขอให้บรรดาพระสังฆราชเพิ่มเติมคำหนึ่ง Homoousios เมื่อพูดถึงพระบุตรของพระเจ้า
คำที่ขอให้เพิ่มเติมมีความหมายว่า พระบุตรมีพระธรรมชาติ (อูซีอา
Ousia) เดียวกัน (โฮโม Homo) กับพระบิดา หรือทรงร่วมสภาวะเดียวกันกับพระบิดา คำนี้ยืนยันว่าพระบิดาและพระบุตรเท่าเสมอกันเมื่อเป็นข้อเสนอของจักรพรรดิ
บรรดาพระสังฆราชรับรอง เว้นแต่สององค์ซึ่งไม่ยอมรับจึงถูกเนรเทศพร้อมกับอาริอุสด้วย
(Dwyer, John C.1985:) ที่ประชุมยังใช้โอกาสนี้กำหนดกฎระเบียบของพระศาสนจักรบางประการ
เช่น มีการตกลงกันว่า ให้มีการฉลองวันสมโภชปัสกาตรงกับวันที่กรุงโรมและเมืองอเล็กซานเดรียได้กำหนดไว้
มีการวางกฎบางประการสำหรับตำแหน่งพระสังฆราชด้วย เราจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง
(ข้อ 5.3.1) มีข้อกำหนดที่จำกัดการอยู่ด้วยกันของสตรีกับสมณะ
ตามงานประพันธ์ของโซกราเตส (Socrates) นักประวัติศาสตร์
(ต้นศตวรรษที่ 5) บรรดาพระสังฆราชต้องการให้สมณะที่แต่งงานแล้ว
สละชีวิตสามีภรรยา ดูเหมือนว่าประเทศสเปนยอมรับกฎระเบียบนี้อยู่ แต่พระสังฆราชปัฟนูติอุส
(Paphnutius) ทั้งๆ ที่เป็นโสดไม่เห็นด้วยข้อเสนอดังกล่าว ที่ประชุมจึงให้เสรีภาพ
ให้พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกรตัดสินใจเอง นอกจากนั้น ยังมีข้อตกลงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการเบียดเบียน
ปัญหาเรื่องการต้อนรับคนนอกรีตกลับเข้ามาในพระศาสนจักร และระเบียบเกี่ยวกับวิธีการอภิบาลศีลแห่งการคืนดีกัน
ข้อตกลงของการประชุมสังคายนาที่เมืองนีเชอา เป็นปัญหาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลายคนปฏิเสธคำว่า
Homoousios เพราะคำนี้ไม่พบในพระคัมภีร์ คนอื่นเตือนความจำว่า พวกสอนนอกรีตเคยใช้คำๆ
นี้ เพราะพวกเขาไม่รู้จักแยกแยะพระบิดาออกจากพระบุตร ต่อมาไม่ช้า ชาวตะวันตกส่วนมากปฏิเสธไม่ยอมรับสูตรของที่ประชุมสังคายนาแห่งเมืองนีเชอาอีกเลย
เว้นแต่พระสังฆราชนักบุญอาทานาซีอุส พระสังฆราชแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย ตั้งแต่ ค.ศ.328 คริสตชนตะวันตก (ละติน)
มักจะซื่อสัตย์ต่อมติของที่ประชุมสังคายนาแห่งนีเชอา จักรพรรดิคอนสแตนติน
ผู้ได้ทรงสนับสนุนบทข้าพเจ้าเชื่อของเมืองนีเชอา ได้เปลี่ยนพระทัยโดยมุ่งพระทัยให้คริสตชนตะวันออกสบายใจ
ความรุนแรงและการชำระแค้นทวีมากขึ้น นักบุญอาทานาซีอุส ซึ่งไม่อยากให้อาริอุสกลับเข้ามารับตำแหน่งเดิม
ถูกการประชุมสังคายนาแห่ง เมืองไทระ (Tyr) ใน ค.ศ.335 ปลดออกจากตำแหน่ง และถูกเนรเทศไปที่เมืองตรีร์
(Trier) สุดเขตแดน เยอรมัน ท่านคงยังถูกเนรเทศอีก 4 ครั้ง เพราะท่านซื่อสัตย์ต่อมติของการประชุมสังคายนาแห่งเมืองนีเชอา ในช่วงที่บรรดาโอรสของจักรพรรดิคอนสแตนตินครองราชย์นั้น
ความแตกแยกในพระศาสนจักรทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในที่ประชุมสังคายนาแห่งเมืองซาร์ดีกา
(Sardica) กรุงเซเฟีย (ค.ศ.342-343) พระสังฆราชตะวันตกและพระสังฆราชตะวันออกแตกแยกเป็นสองฝ่าย
จักรพรรดิคอนสแตนติอุส (Constantius) กลับมาเป็นจักรพรรดิองค์เดียวในค.ศ.351 พระองค์ทรงสนับสนุนกลุ่มนิยมอาริอุส
(Arianism) ครั้งนี้พระสังฆราชตะวันตก(พวกละติน)ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ตะวันออก เช่น ลิเบริอุส (Liberius) พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ฮิลาริอุส (Hilary) พระสังฆราชแห่งปัวเทียร์
(Poitiers) และโอซิอุส พระสังฆราชแห่งกอร์โดบา เป็นต้น มีการจัดประชุมหลายครั้งหลายหน
และแต่ละครั้งได้เสนอสูตรใหม่ขึ้นมา แต่ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ ใน ค.ศ.359 จักรพรรดิเสนอสูตรซึ่งมีความ
หมายกว้างๆ คือ “พระบุตรคล้ายคลึงกับ
(Homoios) พระบิดา” ต่อข้อเสนอนี้นักบุญเยโรม
(Jerome)กล่าวว่า “แผ่นดินทั้งหมดคร่ำครวญ แปลกใจที่ตนเองกลับเป็นฝ่ายนิยมอาริอุสไปได้”การทะเลาะเบาะแว้งก่อให้เกิดการแตกแยกในพระศาสนจักรท้องถิ่น เช่น ที่เมืองอันทิโอกมี
5 กลุ่มนิกาย แต่ละกลุ่มมีพระสังฆราชของตน มีการนำเสนอความคิดทางเทววิทยาในหลายรูปแบบการแตกแยกในพระศาสนจักรแห่งกรุงโรม
ทำให้การเลือกตั้งผู้ที่จะรับตำแหน่งแทนพระสังฆราชลิเบริอุสยุ่งยาก (ค.ศ.366) มีผู้สมัครสองคน ในที่สุดดามาซุส
(Damasus) เป็นฝ่ายชนะ แต่เกิดมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดขนาดมีคนตายไปถึง
137 คน
ที่มา : Dwyer, John C. (1985).
Church History. New Jersey : Paulist Press. (97-100)
การประชุมสังคายนาที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ.381)
นักบุญบาซิล (Basil) พระสังฆราชแห่งเมืองซีซารีอา
(ค.ศ.370-379) ประสบความสำเร็จ
ในการก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวในพระศาสนจักรโดยคำสอนของท่านในด้านเทววิทยาก่อน
แต่แล้วเกิดคำถามใหม่ขึ้นมา คือ พระจิตเจ้าเป็นพระเจ้าหรือไม่ พวกนิยมอาริอุสปฏิเสธเรื่องนี้
พวกเขาจึงถูกเรียกว่าพวกต่อต้านพระจิตเจ้า (Pneumatomakos) นักบุญบาซิลเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องพระจิตเจ้า
ท่านอธิบายและยืนยันว่า พระจิตเจ้าด้วยทรงมีพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดาด้วย นักบุญเกรโกรี่
แห่งนาซีอันซุส (Gregory of Nazianzus) เพื่อนของนักบุญบาซิลก็เขียนในแนวเดียวกัน
นอกจากนั้นนักบุญบาซิลพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาพระสังฆราชตะวันออก และขอร้องให้นักบุญอาทานาซีอุสประสานงานกับบรรดาพระสังฆราชตะวันตก
นักบุญบาซิลได้เขียนจดหมายถึงบรรดาพระสังฆราชในเขตโกลและอิตาลี อธิบายถึงสภาพน่าเวทนาของคริสตชนตะวันออก
ส่วนดามาซุส (Damasus) พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ไม่ค่อยจะช่วยให้มีการคืนดีกับเกิดขึ้นเท่าไรนัก
จักรพรรดิวาเลนติอุส (Valentius) ผู้นิยมอาริอุสสิ้นพระชนม์ในการต่อสู้กับพวกโกธ
(Goths) ที่อันดรีโนโปลิส (Andrinopolis) ใน ค.ศ.378 ใครๆ ถือว่าการพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งนี้เป็นอาญาโทษของพระเจ้า
กราเตียน จักรพรรดิตะวันตก และเทโอโดซิอุส จักรพรรดิตะวันออก ทั้งสองพระองค์ได้ทรงตัดสินจะต้องยุติการวิวาทเรื่องเทววิทยาซึ่งบานปลายเป็นการจลาจลตามท้องถนน
ใน ค.ศ.380 จักรพรรดิเทโอโดซิอุส
ทรงประกาศว่าคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พระองค์รับรองว่านักบุญเกรโกรี่ แห่งนาซีอันซุส
เป็นพระสังฆราชแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล และทรงเรียกประชุมสังคายนาในเมืองหลวง
(ค.ศ.381) การประชุมสังคายนาครั้งนี้ได้รวบรวมพระสังฆราชจากตะวันออกเท่านั้น
และจากผลการประชุมมีข้อตกลงเหลืออยู่เพียงแค่ 4 ข้อเท่านั้น คือ
เราต้องรักษาความเชื่อที่การประชุมสังคายนาแห่งเมืองนีเชอาประกาศไว้ และจะต้องปฏิเสธคำสอนนอกรีต
ที่เป็นมาในภายหลังทั้งหมด ที่ประชุมจึงได้นำบทข้าพเจ้าเชื่อแห่งนีเชอากลับมาพิจารณา
และเพิ่มคำยืนยันความเชื่อเรื่องพระจิตเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระจิตทรงเป็นพระเป็นเจ้า
ผู้บันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดา ทรงรับสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร”
นี่คือความเป็นมาของบทข้าพเจ้าเชื่อที่เราสวดทุกวันอาทิตย์ ในศตวรรษที่
8 คริสตชนตะวันตกที่ใช้ภาษาละตินได้เพิ่มคำ “ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร”
(Filioque) คำนี้แหละเป็นสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้พระศาสนจักรละติน(ตะวันตก)และพระศาสนจักรกรีก(ตะวันออก)แตกแยก ซึ่งจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 11 การประชุมสังคายนาครั้งนี้ยังเป็นเสมือนสนามรบระหว่างบุคคลบางคน
สมาชิกในที่ประชุมได้คัดค้านว่า เกรโกรี่ แห่งนาซีอันซุส ไม่มีสิทธิที่จะเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล
เพราะเหตุว่าก่อนได้รับเลือกท่านเป็นพระสังฆราชของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ จะย้ายมารับตำแหน่งใหม่ไม่ได้
นักบุญเกรโกรี่เหนื่อยหน่ายต่อความวุ่นวายที่ได้เกิดขึ้น จึงถอนตัวไปอาศัยอยู่ในฟาร์มของตน
จึงมีการเลือกข้าราชการคนหนึ่งซึ่งปลดเกษียณแล้วให้เป็นพระสังฆราชแห่งคอนสแตนติโนเปิล
ที่มา : Brox, Norbert . (1994).
A History of the Early Church. London:SCM Press LTD. (161-167)__